วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553
สรุปผลการเรียนภาคที่1/53
เทอร์เน็ตและการเช็กสัญญาณอินเทอร์เน็ต จากที่หนูไม่เคยเรียนไม่เคยรู้หนูก็ได้รู้เช่นการเช็กสัญญาณ
อินเทอร์และได้รู้จักสายแลด์ว่าเป็นยังไงและการเข้าหัวRJ45 และการต่อแบบตรงและการต่อแบบไข้ว
และอาจารย์ยังสอนหนูสมัค facebook และจากที่หนูไม่เคยได้รู้จักการทำบล็อคหนูก็ได้ร้จักทำ จากที่
ไม่เคยได้รู้จักรู้จักอุปกรณ์ต่างๆของคอมพิวเตอร์หนูก็ได้รู้ก็ได้รู้จัก และหนูยังหวังว่าความรู้ที่หนูได้รับจาก
การสอนของอาจารย์ที่ได้สอนมาทั้งหมดหนูจะสามารถนำความรู้ที่หนูได้รับไปสอนน้องๆและคนที่ยังไม่รู้
ให้รู้ได้ในเรื่องที่หนูเรียนมา
วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553
แบบจำลองOSIสำหรับเครือข่าย
องค์การ ISO และแบบจำลอง OSI
องค์กรกำหนดมาตรฐานสากลหรือมักเรียกสั้นว่า ๆ ISO นั้น จัดเป็นองค์กรหนึ่งที่ได้รับการยอมรับกันทั่วโกเกี่ยวกับการกำหนดมาตรฐานสากล และมาตรฐาน ISO นี่เอง ก็ได้ครอบคลุมหักเกณฑ์เครือข่ายการสื่อสารด้วย ที่เรียกว่า Open Systems Interconnection หรือมักเรียกสั้น ๆ ว่า แบบจำอง OSI ซึ่งเป็นแบบจำลองอ้างอิงเครือข่ายมาตรฐานสากล โดยทาง ISO ได้พัฒนาแบบจำลองนี้ขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1984
แบบจำลอง OSI เป็นระบบเปิด ( Open System ) ที่อนุญาตให้ระบบที่มีความแตกต่างกันสามารถสื่อสารระหว่างกันได้ กล่าวคือ มาตรบานแบบจำลอง OSI ที่จัดทำขึ้นมานั้น ก็เพื่อวัตถุประสงค์ให้ระบบที่มีความแตกต่างกันสามารถสื่อสารกันได้ด้วยการใช้มาตรบานการสื่อสารที่เป็นสากล โดยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปเปลี่ยนแปลงฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ใด ๆ อย่างไรก็ตาม แบบจำลอง OSI ไม่ใช่โปรโตคอล ดังที่หลายคนเข้าใจกันแต่เป็นเพียงแบบจำลองแนวความคิด ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความเข้าใจในสถาปัตยกรรมเครือข่าย และปัจจุบันก็ได้มีการนำโมเดลนี้มาเป็นแบบจำลองทางสถาปัตยกรรมหลักสำหรับการสื่อสารในระดับสากล
แบบจำลอง OSI มีกรอบการทำงานเป็นลำดับชั้น หรือรียกว่า “ เลเยอร์ ” แต่ลำดับชั้นจะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน รวมถึงฟังก์ชันหน้าที่ก็มีความแตกต่างกันในแต่ละชั้น สำหรับลำดับชั้นต่าง ๆ ที่กำหนดขึ้นมานั้น จะถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสื่อสารร่วมกัน โดยแบบจำอง OSI ได้มีการแบ่งออกเป็น 7 ลำดับชั้นด้วยกันคือ คือ
- ลำดับชั้นฟิสิคัส
- ลำดับชั้นดาต้าลิงก์
- ลำดับชั้นเน็ตเวิร์ก
- ลำดับชั้นทรานสปอร์ต
- ลำดับชั้นเซสซัน
- ลำดับชั้นพรีเนเตชัน
- ลำดับชั้นแอปพลิเคชัน
หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมต้องมีการแบ่งเป็นลำดับชั้นต่าง ๆ มากมาย ซึ่งการมีหลาย ๆ ดับชั้นจะไม่เกิดความยุ่งยากเหรอ ในความเป็นจริงแล้ว การที่แบ่งเป็นส่วนการทำงานย่อย ๆ ที่เรียกว่าเลเยอร์หรือลำดับจะส่งผลดีกว่า ให้ลองเปรียบเทียบง่าย ๆ กับการเขียนโปรแกรม ลองคิดดูว่า เราทำไมไม่เขียนโปรแกรมแบบรวมกันอยู่ในโมดูลเดียว แต่การออกแบบโปรแกรมที่ดี ควรเขียนโปรแกรมแยกออกเป็นโปรแกรมย่อยหรือโมดูลต่าง ๆ ซึ่งแต่ ละโมดูลก็จะมีหน้าที่การทำงานเฉพาะส่วนของตัวเอง การปรับปรุงหรือการ
เปลี่ยนแปลงโปรแกรมในแต่ละโมดูลก็จะทำได้ง่าย ไม่ต้องไล่โปรแกรมตั้งแต่ต้น หากมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในบางโมดูลก็จะไม่ส่งผลกระทบกับโมดูลอื่น ๆ ในทำนองเดียวกัน การแบ่งเป็นลำดับชั้นของแบบจำลอง OSI ก็ใช้เพื่อการนี้เช่นกัน
ชื่อของลำดับชั้นทั้งเจ็ดที่เรียงลำดับในแบบจำลอง OSI ในบางครั้งก็ยากต่อการจดจำ แต่ก็มีแนวทางที่จะทำให้การจดจำลำดับชั้นทั้งเจ็ดได้ง่ายขึ้นจากประโยคที่ว่า “ All people seem to need data processing ”
แนวความคิดในการแบ่งลำดับชั้นสื่อสาร
สำหรับแนวความคิดในการแบ่งลำดับชั้นสื่อสารแบบจำลอง OSI สามารถสรุปได้เป็นข้อ ๆ ดังต่อไปนี้
- เพื่อลดความวับซ้อน ทำให้ง่ายต่อการเรียนรู้และเข้าใจ
- เพื่อให้แต่ละลำดับชั้นมีบทบาทหน้าที่ที่ชัดเจน และแตกต่างกัน
- เพื่อให้แต่ละลำดับชั้นปฏิบัติงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
- เพื่อให้ฟังก์ชันการทำงานในแต่ละลำดับชั้นที่ได้กำหนดขึ้นมานั้น สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
- จากขอบเขตความรับผิดชอบในแต่ลำดับชั้น ทำให้มีการสื่อสารในแต่ละลำดับชั้นมีความคล่องตัว และเพื่อป้องกันในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงบนเลเยอร์หนึ่ง ๆ แล้วส่งผลกระทบต่อเลเยอร์อื่น ๆ
- จำนวนลำดับชั้นจะต้องมีจำนวนมากเพียงพอ และเหมาะสมต่อการจำแนกหน้าที่การทำงานให้กับแต่ละชั้นเท่าที่จำเป็น ซึ่งไม่ใช่มีจำนวนลำดับชั้นมากมายเทอะทะเกินความจำเป็น
สำหรับการพัฒนาแบบจำลองนี้ ผู้ออกแบบได้ออกแบบเพื่อให้มีการไหลของกระบวนการส่งผ่านข้อมูลไปยังส่วนล่างแบบต่อเนื่องกันไปในแต่ละชั้น กล่าวคือ การส่งข้อมูลจะส่งจากลำดับชั้นส่วนบนไปยังส่วนล่างจากชั้นหนึ่งไปยังอีกชั้นหนึ่งที่เชื่อมต่อกันเท่านั้น ไม่สามารถสื่อสารข้อมูลข้ามลำดับกันได้ โดยแต่ละลำดับชั้นจะมีกลุ่มหน้าที่ที่แตกต่างไป และการแบ่งหน้าที่ที่ชัดเจนให้กับแต่ละชั้นนี่เอง ทำให้ผู้ออกแบบสถาปัตยกรรมมีความเข้าใจง่าย และมีความยืดหยุ่นสูงสำหรับการนำไปประยุกต์ใช้งานต่อไป โดยส่วนสำคัญที่สุดคือแบบจำลอง OSI จะมองผ่านอย่างสมบูรณ์ ถึงแม้จะเป็นระบบที่เข้ากันไม่ได้ กล่าวคือ ถึงแม้ระบบที่สื่อสารกันจะมีความแตกต่างในสถาปัตยกรรม ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ที่ใช้งานมีความแตกต่างกัน แต่นั้นไม่ใช่สาเหตุที่สร้างข้อจำกัดด้านการสื่อสารระหว่างกัน การสื่อสารระหว่างกันปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกระบวนการสื่อสารที่ตั้งอยู่บนมาตรฐานของแบบจำลอง OSI ให้มองผ่านในเรื่องของระบบที่มีความแตกต่างข้ามไป โดยไม่ว่าจะเป็นเครื่องระดับใด ยี่ห้ออะไร รุ่นอะไรก็ตาม ก็สามารถสื่อสารเพื่อรับส่งข้อมูลระหว่างกันได้ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า เราสามารถใช้คอมพิวเตอร์ต่างระดับ ต่างรุ่น ต่างยี่ห้อ หรือต่างแพล็ตฟอร์มให้สื่อสารร่วมกันได้ เพียงแต่ผู้พัฒนานั้นให้ยึดหลักของแบบจำลอง OSI เป็นมาตรบานการสื่อสารบนระบบเครือข่าย ซึ่งนั่นก็คือเป้าหมายของแบบจำลอง OSI นั่นเอง
แหล่งที่มาhttp://www.burapaprachin.ac.th/network/Page202.htm
วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ประวัติวันเข้าพรรษา
"เข้าพรรษา" แปลว่า "พักฝน" หมายถึง พระภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่งระหว่างฤดูฝน โดยเหตุที่พระภิกษุในสมัยพุทธกาล มีหน้าที่จะต้องจาริกโปรดสัตว์ และเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่ประชาชนไปในที่ต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องมีที่อยู่ประจำ แม้ในฤดูฝน ชาวบ้านจึงตำหนิว่าไปเหยียบข้าวกล้าและพืชอื่นๆ จนเสียหาย พระพุทธเจ้าจึงทรงวางระเบียบการจำพรรษาให้พระภิกษุอยู่ประจำที่ตลอด 3 เดือน ในฤดูฝน คือ เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี ถ้าปีใดมีเดือน 8 สองครั้ง ก็เลื่อนมาเป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือนแปดหลัง และออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เว้นแต่มีกิจธุระเจ้าเป็นซึ่งเมื่อเดินทางไปแล้วไม่สามารถจะกลับได้ในเดียวนั้น ก็ทรงอนุญาตให้ไปแรมคืนได้ คราวหนึ่งไม่เกิน 7 คืนเรียกว่า สัตตาหะ หากเกินกำหนดนี้ถือว่าไม่ได้รับประโยชน์ แห่งการจำพรรษา จัดว่าพรรษาขาด ระหว่างเดินทางก่อนหยุดเข้าพรรษา หากพระภิกษุสงฆ์เข้ามาทันในหมู่บ้านหรือในเมืองก็พอจะหาที่พักพิงได้ตามสมควร แต่ถ้ามาไม่ทันก็ต้องพึ่งโคนไม้ใหญ่เป็นที่พักแรม ชาวบ้านเห็นพระได้รับความลำบากเช่นนี้ จึงช่วยกันปลูกเพิง เพื่อให้ท่านได้อาศัยพักฝน รวมกันหลาย ๆองค์ ที่พักดังกล่าวนี้เรียกว่า "วิหาร" แปลว่าที่อยู่สงฆ์ เมื่อหมดแล้ว พระสงฆ์ท่านออกจาริกตามกิจของท่านครั้งถึงหน้าฝนใหม่ท่านก็กลับมาพักอีกเพราะสะดวกดี แต่บางท่านอยู่ประจำเลย บางทีเศรษฐีมีจิตศัรทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก็เลือกหาสถานที่สงบเงียบไม่ห่างไกลจากชุมชนนัก สร้างที่พัก เรียกว่า "อาราม" ให้เป็นที่อยู่ของสงฆ์ดังเช่นปัจจุบันนี้
โดยปรกติเครื่องใช้สอยของพระตามพุทธานุญาตให้มีประจำตัวนั้น มีเพียงอัฏฐบริขารอันได้แก่ สบง จีวร สังฆาฏิ เข็ม บาตร รัดประคด หม้อกรองน้ำ และมีดโกน และกว่าพระท่านจะหาที่พักแรมได้ บางทีก็ถูกฝนต้นฤดูเปียกปอนมา ชาวบ้านที่ใจบุญจึงถวายผ้าอาบน้ำฝนสำหรับให้ท่านได้ผลัดเปลี่ยน และถวายของจำเป็นแก่กิจประจำวันของท่านเป็นพิเศษในเข้าพรรษานับเป็นเหตุให้มีประเพณีทำบุญเนื่องในวันนี้สืบมา
เพิ่มเติม
"ผ้าจำนำพรรษา" คือผ้าที่ทายกถวายแก่พระสงฆ์ผู้อยู่จำพรรษาครบแล้วในวัดนั้น ภายในเขตจีวรกาล เรียกอีกอย่างว่า "ผ้าวัสสาวาสิกสาฎิกา"
"ผ้าอาบน้ำฝน" คือผ้าสำหรับอธิษฐานไว้ใช้นุ่งอาบน้ำฝนตลอด ๔ เดือนแห่งฤดูฝน เรียกอีกอย่างว่า "ผ้าวัสสิกสาฏิกา"
การที่พระภิกษุสงฆ์ท่านโปรดสัตว์อยู่ประจำเป็นที่เช่นนี้ เป็นการดีสำหรับสาธุชนหลายประการ กล่าวคือ ผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามพระพุทธบัญญัติก็นิยมบวชพระ ส่วนผู้ที่อายุยังไม่ครบบวชผู้ปกครองก็นำไปฝากพระ โดยบวชเป็นเณรบ้าง ถวายเป็นลูกศิษย์รับใช้ท่านบ้าง ท่านก็สั่งสอนธรรม และความรู้ให้ และโดยทั่วไป พุทธศาสนิกชนนิยมตักบาตรหรือไปทำบุญที่วัด นับว่าเป็นประโยชน์
การปฏิบัติตน ในวันนี้หรือก่อนวันนี้หนึ่งวัน พุทธศาสนิกชนมักจะจัดเครื่องสักการะเช่น ดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องใช้ เช่น สบู่ ยาสีฟัน เป็นต้น มาถวายพระภิกษุ สามเณร ที่ตนเคารพนับถือ ที่สำคัญคือ มีประเพณีหล่อเทียนขนาดใหญ่เพื่อให้จุดบูชาพระประธานในโบสถ์อยู่ได้ตลอด 3 เดือน มีการประกวดเทียนพรรษา โดยจัดเป็นขบวนแห่ทั้งทางบกและทางน้ำ
แม้การเข้าพรรษาจะเป็นเรื่องของภิกษุ แต่พุทธศาสนิกชนก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ ทำบุญรักษาศีลและชำระจิตใจให้ผ่องใส ก่อนวันเข้าพรรษาชาวบ้านก็จะไปช่วยพระทำความสะอาดเสนาสนะ ซ่อมแซมกุฏิวิหารและอื่นๆ พอถึง วันเข้าพรรษาก็จะไปร่วมทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรมและรักษาอุโบสถศีลกันที่วัด บางคนอาจตั้งใจงดเว้น อบายมุขต่างๆ เป็นกรณีพิเศษ เช่น งดเสพสุรา งดฆ่าสัตว์ เป็นต้น อนึ่ง บิดามารดามักจะจัดพิธีอุปสมบทให้บุตรหลาน ของตนโดยถือกันว่าการเข้าบวชเรียนและอยู่จำพรรษาในระหว่างนี้จะได้รับ อานิสงส์อย่างสูง
ประเพณีหล่อเทียนเข้าพรรษา เป็นประเพณีที่กระทำกันเมื่อใกล้ถึงฤดูเข้าพรรษาซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ พระภิกษุจะต้องอยู่ประจำวัดตลอด ๓ เดือนมาตั้งแต่โบราณกาล การหล่อเทียนเข้าพรรษานี้มีอยู่เป็นประจำ ทุกปี เพราะในระยะเข้าพรรษานี้ พระภิกษุจะต้องมีการสวดมนต์ทำวัตรทุกเช้าเย็นและในการนี้จะต้องมีธูป เทียนจุดบูชาด้วย พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย จึงพร้อมใจกันหล่อเทียนเข้าพรรษาสำหรับให้พระภิกษุจุดเป็น การกุศลทานอย่างหนึ่งเพราะเชื่อกันว่าในการให้ทานด้วยแสงสว่าง จะมีอานิสงฆ์เพิ่มพูนปัญญาหูตาสว่างไสว ตามชนบท การหล่อเทียนเข้าพรรษาทำกันอย่างเอิกเกริกสนุกสนานมาก เมื่อหล่อเสร็จแล้ว ก็จะมีการแห่แหน รอบพระอุโบสถ ๓ รอบ แล้วนำไปบูชาพระตลอดระยะเวลา ๓ เดือน บางแห่งก็มีการประกวดการตกแต่งมี การแห่แหนรอบเมืองด้วยริ้วขบวนที่สวยงามและถือว่าเป็นงานประจำปีทีเดียว ในวันนั้นจะมีการร่วมกันทำบุญตักบาตรถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ เป็นการร่วมกุศลกันในหมู่บ้านนั้น
กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันเข้าพรรษา
๑. ร่วมกิจกรรมทำเทียนจำนำพรรษา
๒. ร่วมกิจกรรมถวายผ้าอาบน้ำฝน และจตุปัจจัย แก่ภิษุสามเณร
๓. ร่วมทำบุญ ตักบาตร ฟังธรรมเทศนา รักษาอุโบสถศีล
๔. อธิษฐาน งดเว้นอบายมุขต่างๆ
แหล่งที่มา
ประวัติวันอาสาฬบูชา
ประวัติความเป็นมา
วันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันเพ็ญ เดือน 8 ก่อนวันเข้าพรรษา 1 วัน เป็นวันที่พุทธศาสนิกชนแสดงความเคารพต่อพระสงฆ์
อาสาฬหเป็นชื่อเดือน ๘ อาสาฬหบูชาย่อมาจากคำว่าอาสาฬหบูรณ มีบูชา แปลว่า การบูชาพระในวันเพ็ญเดือน ๘ ถ้าปีใดมีเดือน ๘ สองครั้ง ก็จะ เลื่อนไปเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘ หลัง
หลังจาก สมเด็จพระพุทธองค์ ได้ตรัสรู้ในวันเพ็ญ เดือน 6 แล้ว ได้ทรงใช้เวลาทบทวนสัจธรรมและทรงคำนึงว่าธรรมะที่พระองค์ตรัสรู้นี้ลึกซึ้งมาก ยากที่ผู้อื่นจะรู้ตาม แต่อาศัยพระกรุณานี้เป็นที่ตั้ง จึงทรงพิจารณาแบ่งบุคคลออกเป็น 4 ประเภท(บัว 4 เหล่า) คือ
๑. อุคฆฏิตัญญู ดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ
๒. วิปัจจิตัญญู ดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำ
๓. เนยยะ ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ
๔. ปทปรมะ ดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม
จึงทรงมีพระกรุณาธิคุณ ระลึกอาฬารดาบสและอุททกดาบสว่า มีกิเลสเบาบางสามารถตรัสรู้ได้ทันที แต่ท่านทั้ง 2 ได้ตายแล้ว จึงทรงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ ได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์ ทั้ง 5 คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสชิ ซึ่งล้วนแล้วแต่ เป็นผู้อุปฐากพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งยังทรงบำเพ็ญทุกข์กิริยาอยู่ พระธรรมที่ พระพุทธองค์ทรงเทศนาในครั้งนี้มี ชื่อ ธรรมจักกัปปวัตนสูตร ซึ่งมี อริยสัจ ๔ หรือความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการได้แก่
และหลังจากแสดงพระธรรมเทศนาแล้ว ท่านโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม เป็นคนแรก ได้กราบฑูลขอบวชและพระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาต โดยทรงทำการอุปสมบทให้แบบ เอหิภิกขุอุปสัมปทา นับเป็น"ปฐมสาวก" ของพระพุทธเจ้า
ดังนั้นในวันนี้จึงเป็นวันแรกที่มี พระรัตนตรัยครบองค์สาม คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เนื่องจากพระพุทธองค์ทรงเทศนาเป็นกัณฑ์แรก จึงเรียกเทศฯกัณฑ์นี้ว่า "ปฐมเทศนา"
จะเห็นได้ว่า ปรากฏการณ์สำคัญ ๆ ในวันนี้มีถึง 4 ประการ ด้วยกันคือ
1. เป็นวันแรกที่พระพุทธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนา
2. เป็นวันแรกที่พระพุทธองค์ทรงได้ปฐมสาวก
3. เป็นวันแรกที่พระสงฆ์เกิดขึ้นในโลก
4. เป็นวันแรกที่บังเกิดรัตนะครบสาม เป็นพระรัตนตรัย คือ พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ
แหล่งที่มา
วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ส่วนประกอบของเครื่อข่าย
2 เครื่องลูกข่าย (client)
3 การ์ดเครื่อข่าย (network interface cards)
4 สายเคเบิลที่ใช้บนเครื่อข่าย (netork cards)
5 ฮินและสวิตซ์ (hubs and switches)
6 ระบบปฎิบัติการเครื่อข่าย (netwark operating system)
clint/server
web server ใช้เกี่ยวกับ http
1 mail server เครื่อข่ายบริการ เช่น ส่งและรับจดหมาย @การใช้ Email เป็นกรุป
2 file server จัดเก็บ file ดูแลรักษาข้อมูลได้ง่าย เป็นแหล่งเก็บข้อมูล input
3 print server จัดการ print สั่งปรินช่วยในการเชื่อมคอมหลายตัวให้ปรินที่เครื่องเดียวได้
ข้อดี
เสถียรภาพสูงเพิ่มลดได้ตามต้องการ ปลอดภัยสูงทั่งด้านข้อมูลและการจัดการ user
ข้อเสีย
ลงทุนสูงในการติดตั้ง พึ่งพาผู้ควบคุมที่มีความรุ้ความเชี่ยวชาญ
peet to pes
ข้อดี
1 ลงทุนต่ำ
2 ไม่ต้องมีผู้ดูแลระบบ
3 ติดตั้งง่าย
ข้อเสีย
1 มีข้อความจำกัด
2 มีระบบความปลอดภัยต่ำ
3 มีปัญหาเกี่ยวกับการขยายเครื่อข่าย